top of page

#ผู้ชายใส่แว่น กับสังคมปิตาธิปไตย



ถ้าแฟน-ภรรยาทำผิด สามารถลงโทษโดยการทำร้ายร่างกายได้ เพราะผู้ชายก็เสียความรู้สึก? ผู้หญิงสวย คือพวกที่พิการที่จ้องแต่จะจับผู้ชายหล่อรวย? สุภาพบุรุษ คือการที่ผู้ชายเป็นฝ่ายนำผู้หญิงในทุกเรื่อง?


ช่วงที่ผ่านมา มีเพจหนึ่งในเฟสบุ๊ค ใช้ชื่อว่า “ผุ้ชายใส่แว่น” ที่แสดงภาพมุมมองต่างๆของความคิดของเจ้าของเพจ เกี่ยวกับเรื่องการดำเนินชีวิตและความรู้สึก เพจนี้เข้าถึงกลุ่มคนขนาดใหญ่ มีคนกดถูกใจกว่าแสนคน แต่ว่าทำไม กลับมีคนต่อต้านเพจนี้อย่างรุนแรงเรื่อยมาตั้งแต่ช่วงปี 2017 จนเคยเกิดหัวข้อข่าว “เหตุผลที่ผู้หญิงไม่มีวันเข้าใจ ทำให้โซเชียลลุกเป็นไฟ”


เรื่องเริ่มต้นเนื่องจากเพจเฟซบุ๊คนั้น นำเสนอแนวความคิดถึง “การเลือกคู่ครอง” ของเขา หรือ “การที่เขาเลือกปฏิบัติตัวดีกับผู้หญิงที่เขาชอบ แต่ไม่ได้ชอบเขาตอบ”​ หรือ “การปฏิบัติตัวกับคนที่เป็นแฟน/ภรรยา” โดยมีเนื้อหาบางส่วนที่แสดงมุมมองความคิดออกมาว่า “ถ้าผู้หญิงทำให้ผู้ชายนั้นเสียความรู้สึก ผู้ชายสามารถทำร้ายผู้ชายได้ไม่ใช่เรื่องผิด และสมควรแล้วที่ผู้หญิงจะถูกทารุณกรรม” หรือ “การที่ผู้หญิงไม่สนใจผู้ชายดีๆ(?) ที่เข้ามาจีบ เพราะมัวแต่สนใจคนหล่อและรวย” เป็นต้น


ความเห็นเหล่านั้นสะท้อนอะไรได้บ้างในสังคมที่เรากำลังอยู่อาศัย จากเพจเฟสบุ๊คที่มีคนเห็นด้วยและสนับสนุนนับแสนคน? ทำไมคนเหล่านั้นถึงเห็นด้วย และการเห็นด้วยกับเรื่องเหล่านี้จะสร้างผลกระทบอะไรให้สังคมบ้าง?


ประเทศไทย ก็เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่ระบบ “ปิตาธิปไตย (Patriarchy) หรือชายเป็นใหญ่” มาอย่างยาวนาน โดยสังเกตได้จากการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจนของเพศสภาพของสังคมในอดีต ที่ให้ชายนั้นเป็นผู้ดูแล ตัดสินใจเรื่องๆต่าง ออกทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว ส่วนผู้หญิงนั้นอยู่เย้าเฝ้าเรือน ทำความสะอาดเช็ดถู ทำอาหารและให้กำเนิดและเลี้ยงดูบุตร


อีกทั้งผู้นำทางสังคมตั้งแต่อดีตของไทยนั้น มักจะมีแต่ผู้ชายทำให้การตัดสินเรื่องต่างๆระดับประเทศนั้น ถูกตัดสินโดยการยึดแนวคิดของผู้ชายเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นกฏหมาย หลักสูตรการศึกษา หน้าที่ของพลเมือง และ รูปแบบกระบวนการดำเนินชีวิต เช่นกฏหมายในสมัยก่อนนั้น ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคน ในขณะที่ภรรยานั้นหากมีผู้อื่น จะเป็นการคบชู้และผิดกฏหมายในทันที (อย่างเช่นตัวอย่างในบทละคร #บุพเพสันนิวาส ที่ได้กล่าวว่าหาหญิงคบชู้จะถูกให้กระทำชำเราโดยม้า) หรือแม้แต่ในหนังสือบทเรียนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่พลเมือง หรือ วรรณคดีไทย ก็มีการแทรกสอดแง่คิดชายเป็นใหญ่ โดยตัวเอกที่เป็นชายมีภรรยาได้หลายคน หรือแม้แต่ฆ่าภรรยาของตนเพื่อผลประโยชน์

ความคิดเหล่านี้ถูกปลูกฝั่งมาหลายยุคสมัยผ่านการเวลา โดยไม่ได้มีการแก้ให้คนในรุ่นถัดไปนั้น เข้าใจถึงบริบทที่สำคัญของ “การเป็นชาย”​ หรือ “บทบาทของชาย” อย่างชัดเจน

ผลกระทบของแนวความคิดที่ชายเป็นใหญ่นั้น ไม่เพียงแต่แทรกสอดอยู่ในบทเรียนต่างๆ แง่คิดการใช้ชีวิตที่สืบทอดตามประเพณีแต่อดีต แต่ยังส่งต่อไปถึงวัฒนธรรมร่วมสมัย

อย่างเช่นในละคร ที่เหล่านางเอกต้องแสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่ดีนั้น คือผู้หญิงที่เรียบร้อย ไม่มีปากเสียงกับชาย ต่อให้พระเอกนั้น จะทำร้ายจิตใจหรือร่างกายตนเองเท่าไหร่ก็ตาม ในขณะเดียวกัน บทละครแสดงให้เห็นว่าผู้ชายสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ


เมื่อ “ความเป็นชาย” ส่งผลให้ความรู้สึก “มีอำนาจ” และ “อยู่เหนือผู้อื่น” โดยมีผู้หญิง “เป็นเหยื่อ” ผลที่เกิดขึ้นนั้นคือการกระทำที่ ผู้ชายมองว่า “ตนคือเจ้าของผู้หญิง” และควบคุมให้ “ผู้หญิงเป็นไปตามที่ตนเองต้องการประหนึ่งว่าหญิงคนนั้นคือวัตถุ (Objectification)” ที่ตนจะสามารถควบคุม หรือกระทำอะไรต่อผู้หญิงคนนั้นก็ได้ (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง Objectification )


ยกตัวอย่างการนำเสนอจาก เพจ “ผู้ชายใส่แว่น” ได้นำเสนอรูปหนึ่งออกมา เป็นภาพของตุ๊กตาเด็กผู้หญิงถูกทำลาย ตุ๊กตาเหล่าต่างร้องไห้และอยู่ล้อมรอบเด็กชายคนหนึ่งถือตุ๊กตาแขนขาดไว้ในมือ และมีภาพชายคนหนึ่งยืมพร้อมถือตุ๊กตาที่สวยงามอยู่ในกล่องอย่างดีแปะป้ายราคาสูง ด้านบนของภาพนั้นมีข้อความเขียนไว้ว่า “เมื่อโตพอ จะรู้ว่าการ รักษา มันมีค่ากว่าการ หาใหม่” แคปชั่นภาพคือ “จริงไหมครับคุณผู้ชาย^^” (ภาพ )


หากตีความโดยตรงจากภาพนี้คงสื่อได้ไม่ยากว่าในสายตาของผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ได้ลดค่าของผู้หญิงลงเป็นเพียงตุ๊กตาที่สวยงาม ที่พวกเขาสามารถเลือกได้ตามความชอบโดยไม่สนใจความรู้สึกของฝ่ายหญิง คำถามคือ การที่มีความคิดเช่นนี้นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ?

หรือ ภาพที่ผู้หญิงคนหนึ่ง มีรอยแผลถูกแทงจนเลือดไหลที่กลางหลัง มีเลือดออกมุมปากพร้อมรอยยิ้ม ฝั่งตรงข้ามของเธอนั้นคือผู้ชายที่ถือมีดพูดว่า “ขอโทษ เค้าผิดเองแหละ…” ข้อความในภาพเขียนว่า “เป็นผู้ชาย… ทำผิดก็แค่ขอโทษ …” แคปชั่นของภาพคือ เป็นผู้ชายแค่ขอโทษไม่ยากเท่าไรหรอกมั้งครับ (ภาพ )


หากตีความโดยตรงกับภาพนี้นั้น อาจมองได้ว่าต่อให้ผู้ชายนั้นทำร้ายผู้หญิงเท่าไหรก็ตาม หากเพียงผู้ชายขอโทษ ผู้หญิงก็ยินดีที่จะยกโทษให้ นั้นหมายถึงผู้ชายมีสิทธิเหนือร่างกาย ความต้องการ ความปลอดภัย ของผู้หญิงอย่างนั้นหรือ? และหากเป็นการทำร้ายร่างกายอย่างแท้จริงแล้ว สามารถหักล้างความผิดได้เพียงแค่ขอโทษอย่างนั้นหรือ?


เมื่อลองนึกย้อนดูนั้น ไม่ใช่ความผิดที่คนเราจะควบคุมตนเองให้มีความคิด และความรู้สึก รวมถึงการกระทำต่างๆ ต่อบุคคลอื่นหรือการดำเนินชีวิต แต่คนเรานั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะควบคุมผู้อื่นให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ ไม่มีสิทธิ์อยู่เหนือความคิด ความรู้สึก และร่างกายของผู้อื่น เพราะสิทธิ์นั้นไม่ใช่ของตน

ดังนั้นเมื่อมองย้อนกลับมาที่สังคมที่เรากำลังอยู่อาศัย เมื่อเกิดเรื่องราวที่พบเห็นว่า ผู้หญิงถูกทำร้ายร่างกายเพราะนอกใจ หรือ ทำอะไรบางอย่างผิด เราควรถามตนเองเสียมากกว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ถูกต้องและสมควรหรือไม่ และเพราะอะไรทำไมคนๆหนึ่ง ถึงคิดว่าตนเองมีสิทธิ์ที่จะทำร้ายร่างกายผู้อื่น หรือ สมควรแล้วที่หรือที่คนๆหนึ่งจะถูกทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บเพียงเพราะเขาทำผิดบางอย่าง

การที่ผู้หญิงถูกตีกรอบลงให้เหลือคุณค่าเพียง “ตุ๊กตาที่สวยงาม” “สาวน้อยที่อ่อนหวาน” หรือแม้แต่ “แฟนที่พร้อมจะยกโทษให้เสมอ” นั้นเป็นสิ่งที่คุณยังอยากให้เกิดขึ้นในสังคม หรือ มีการเปลี่ยนแปลงกับความคิดเหล่านี้ ที่ถูกปลูกฝั่งอยู่ในความคิดของคนไทยกลุ่มหนึ่งในปัจจุบัน


การตั้งคำถามในที่นี้ไม่มีถูกหรือผิด อยู่ที่มุมมองความคิดของแต่ละบุคคลจะมองถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และหากเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นกับตัวของคุณหรือคนที่คนห่วงใย คุณจะรู้สึกอย่างไรต่อการใช้อำนาจที่อยู่เหนือการยินยอมของผู้อื่น โดยที่เมินเฉยต่อความรู้สึกของผู้ถูกกระทำ ประหนึ่งว่าเขาหรือเธอเหล่านั้นเป็นเพียงวัตถุ


สังคมที่เราอยู่อาศัยนั้นอาจจะไม่ใช่สังคมที่เป็นปิตาธิปไตยอย่างชัดเจนในเรื่องที่มีผู้ชายเป็นใหญ่และสามารถควบคุมทุกอย่างได้ตามต้องการ แต่แน่ใจหรือว่า ใช่สังคมอื่นๆที่เรามีส่วนร่วมจะไม่เป็นปิตาธิปไตย? แล้วผู้หญิงในสังคมที่เราอยู่อาศัยนั้น มีสิทธิ์ที่จะดำรงชีวิต หรือเลือกตามสิ่งที่ตนเองต้องการอย่างไรบ้าง?

Comments


©2020 by FeministNhoi. Proudly created with Wix.com

bottom of page